โดยปกติประมาณ 1 ปีขึ้นไป หรือ 20,000 กิโลขึ้นไปถ้าเป็นรถใหม่หรือรถที่ใช้บริการศูนย์บริการเป็นเรื่องปกติ

แต่ถ้าไม่ได้ค่อยใช้บริการศูนย์เราเช็คยังไงว่าถึงเวลาล้าง วิธีง่ายๆวัดจากกลิ่นฝุ่น ลองจมูกจ่อช่องแอร์ถ้ามีกลิ่นอับหรือเหม็นออกเปรี้ยวๆก็ควรที่จะล้างได้แล้ว ไม่ควรปล่อยไว้ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของคนที่อยู่ในรถ

วิธีทำความสะอาดตู้แอร์ มี วิธีอะไรบ้าง

• ล้างแบบถอดตู้ คือเอาคอยล์เย็นออกมาล้างข้างนอก โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดควรสังเกตให้ดีว่าเขาใช้อะไรล้าง ผงซักฟอก โซดาไฟ แต่สารเหล่าพวกนี้จะล้างออกยาก และพอใส่เข้าไปใหม่เปิดแอร์แล้วมีกลิ่นผงซักฟอก แสดงว่าล้างไม่เกลี้ยง และส่งผลร้ายกัดกร่อนคอยล์เย็นได้ และเมื่อรับสูดดมเข้าไปต่อเนื่องไม่ดีต่อระบบหายใจ ข้อเสีย
  ต้องเติมน้ำยาแอร์ใหม่ รวมถึงต้องเปลี่ยนไดเออร์กับวาล์วความดัน ถ้าประหยัดงบ ไม่ยอมเปลี่ยน มีโอกาสที่ท่อแอร์รั่วจากความชื้นเข้าไปอยู่ในระบบจากการถอดตู้แอร์
• การล้างแบบไม่ถอดตู้ ทำความสะอาดง่าย เสร็จ * การล้างแบบนี้เหมาะกับรถใหม่ รถที่ล้างแอร์ปีละ 1 ครั้ง หรือเหมาะกับรถที่ดูแลตู้แอร์เป็นประจำ
  ข้อเสีย เป็นรถเก่า 7-8 ปี วิธีนี้อาจไม่ค่อยได้ผล ทำให้ล้างได้ไม่ค่อยสะอาด
• ใช้สเปรย์ฉีดทำความสะอาดตู้แอร์ เป็นอีกวิธีที่ไม่ต้องรื้อตู้ออกมา ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดให้ทั่วคอยล์เย็น ก็เป็นอันเรียบร้อย คราบน้ำยาจะค่อยๆ ออกมาพร้อมกับน้ำแอร์ตามท่อน้ำทิ้ง นิยมล้างตู้แอร์สกปรกไม่มาก เป็นวิธีนึงที่เราสามารถล้างได้ด้วยตัวเองเหมาะสำหรับคนไม่ค่อยมีเวลา แต่กว่าจะสะอาดดีก็อาจจะเปลืองเงินซื้อสเปรย์กันนิดนึง
• อันนี้ไม่ใช้การล้างแต่ เป็นการใส่กรองแอร์ แต่ก็ไม่สามารถติดได้ทุกรุ่น ต้องดูศึกษาดูก่อนว่ารถรุ่นเราติดได้ไหมอายุโดยประมาณ 5,000 กม. ก็ควรเปลี่ยนใหม่ ถ้าไม่เปลี่ยนลมจะผ่านเข้าตู้แอร์ไม่สะดวก ทำให้ลมแอร์อ่อนกำลัง และลมก็ยังตีกลับส่งผลต่อคอมแอร์ กรองแอร์สำหรับรถบางรุ่นราคาพอรับได้ วิธีก็เหมาะกับคนไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถซักเท่าไรและก็ต้องใช้เงินซื้อเปลี่ยนบ่อยๆ ถ้าอยากประหยัดค่าใช้จ่ายควรเลือกแบบถอดตู้แอร์หรือใช้เครื่องล้างจะเป็นการประหยัดเงิน

ถ้า ไม่ต้องล้างบ่อยๆ เมื่อก่อนขึ้นรถเมื่อไหร่เคาะเท้าเคาะฝุ่นก่อนที่จะเหยียบพรมรถถ้ามีเวลาก็เคาะพรมรถด้วยก็ดี สาเหตุเพราะพัดลมแอร์อยู่ใกล้กับพรมรองเท้า ถ้าไม่เคาะฝุ่นก็จะสะสมและถูกดูดเข้าไปส่ง ตู้แอร์ตันเร็ว แล้วยึดอายุการใช้งานตู้แอร์อีกตังหาก